จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2562

สาวเลี้ยง ‘ด้วงสาคู’ แบบคูลๆ สร้างรายได้เกือบแสนต่อเดือน






สาววัย 28 ปี หันมาเพาะเลี้ยง ‘ด้วงสาคู’ ส่งขายทั่วประเทศ สร้างรายได้ต่อเดือนเกือบ 1 แสนบาท
หากพูดถึง ‘แมลงทอด‘ ก็ต้องบอกว่ามีการนิยมรับประทานกันมานมนานแล้ว ทั้งตั๊กแตน จิ้งหรีด หนอนไม้ไผ่ หรือรถด่วน แมงดานา และอื่นๆอีกมากมาย เป็นที่ถูกอกถูกใจ และถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางอาหารโดยเฉพาะโปรตีน และสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย
วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ ขอนำเสนอแมลงอีกหนึ่งชนิดที่กระแสความนิยมเริ่มเพิ่มมากขึ้น นั้นคือ!!! ‘ด้วงสาคู‘ หรืออีกชื่อหนึ่ง ‘ด้วงมะพร้าว‘ ซึ่งแมลงชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทางภาคใต้ของประเทศเรา และในหลายๆปีที่ผ่านมา ก็ได้แพร่หลายและมีการเพาะเลี้ยงกันทั่วประเทศ
ซึ่งทางทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณทิติยา คำเถื่อน หรือคุณญา อายุ 28 ปี เจ้าของ ‘ด้วงสาคูฟาร์มมาดี‘ จ.เพชรบุรี ที่เลี้ยงด้วงสาคูจนประสบความสำเร็จอย่างมากอีกหนึ่งราย พร้อมเผยถึงวิธีการเลี้ยง และเทคนิคดีๆในการเพาะเลี้ยงเจ้า ‘ด้วงสาคู‘ ทำอย่างไรให้ผลผลิตออกมาดีและมีคุณภาพ…!!??
โดยคุณญา ได้เปิดเผยว่าเดิมทำธุรกิจร้านหมูกระทะในกรุงเทพฯ เป็นเวลา 8 ปี แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ จึงเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ทำ จนได้มาศึกษาและสนใจ ‘ด้วงสาคู‘ ซึ่งเป็นคนที่ชื่นชอบการทานแมลงอยู่แล้ว จึงไปตามฟาร์มเลี้ยงและเข้าอบรม
จนกระทั่งปี 59 ตัดสินใจซื้อพ่อแม่พันธุ์ มาประมาณ 50 คู่ แบ่งเป็น 10 กะละมัง กะละมังละ 5 คู่ โดยนำมาเลี้ยงที่บ้านใน จ.นนทบุรี จนผลผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก จึงเริ่มที่จะส่งขาย โดยเริ่มจากสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กจนกลุ่มลูกค้าเริ่มขยายตัวมากขึ้น หลังจากนั้นจึงตัดสินใจย้ายแหล่งผลิตมาที่ จ.เพชรบุรี เนื่องจากมีพื้นที่เพียงพอต่อการเลี้ยง และต่อยอดได้อีกเป็นจำนวนมาก
คุณญา บอกก็ทีมข่าวว่า จริงๆแล้วเจ้า ‘ด้วงสาคู‘ เป็นแมลงที่เลี้ยงง่ายไม่ยุ่งอยากเท่าไหร่นัก โดยสูตรอาหารของทางฟาร์มจะใช่สัดส่วนดังนี้ 1.หัวอาหารสัตว์ และรำข้าว อย่างละ 3 ขีด / 2.มันสดบด 1 กิโลกรัม / 3.เปลือกมะพร้าวสับละเอียด 1 – 1.5 กิโลกรัม / 4.กากน้ำตาล 100 ซีซี นำมาใส่ภาชนะที่จะเลี้ยง โดยแนะนำว่าควรเป็นกะละมังขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร
เมื่อเตรียมส่วนประกอบครบถ้วนแล้วน้ำมาผสมกันในกะละมัง โดยเติมน้ำลงไปให้พอแฉะๆ และใช้เปลือกมะพร้าวปิดหน้าอาหารไว้ พร้อมนำกล้วยน้ำว้า 2 ลูก มาวางไว้ เป็นอาหารสำหรับพ่อแม่พันธุ์ พร้อมนำฝามาปิดโดยให้มีรูระบายอากาศถ่ายเท
โดยจะเลี้ยง 5 คู่ ต่อ 1 กะละมัง ซึ่งปกติแล้วด้วงสาคูจะไข่ทุกวัน หลังจากปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงไปทิ้งระยะเวลาประมาณ 15 วัน เมื่อลูกตกแล้ว ให้จับพ่อแม่พันธุ์ไปเลี้ยงในกะละมังอันใหม่เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป โดยวงจรชีวิตของเจ้าด้วงสาคู สามารถอยู่ได้ประมาณเดือนกว่าๆ ก็จะตาย
หลังจากนั้นก็หมั่นดูหน้าอาหารไม่ให้แห้ง ซึ่งถ้าหน้าอาหารแห้งก็ให้พรมน้ำ เลี้ยงจนตัวหนอนโตประมาณเท่านิ้วโป้ง ใช้เวลาประมาณ 25 วัน ก็สามารถจับส่งขายได้แล้ว แต่หากต้องการเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ ต้องเลี้ยงไปอีกประมาณ 20 วัน ตัวหนอนก็จะเริ่มเข้าฝัก คล้ายดักแด้ หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 วันก็จะออกมาเป็นตัวด้วงสาคู ส่วนการดูเพศนั้นตัวผู้จะมีงวงสั้นกว่าตัวเมีย และงวงของตัวผู้จะมีขนเล็กๆอยู่ ขณะที่ตัวเมียงวงจะเรียวยาว
สำหรับวิธีการส่งขายตัวหนอนด้วงสาคู ก่อนจะนำส่ง 1 วัน ทางฟาร์มจะทำการล้างท้องตัวหนอน ด้วยการให้หนอนด้วงกินกะทิ หรือแช่น้ำและใส่พริกไทยไว้ 1 คืน เพื่อเพิ่มรสชาติ ซึ่งหากไม่ล้างท้องกลิ่นของตัวหนอนก็จะมีลักษณะเหมือนสูตรอาหารที่เลี้ยงไว้ โดยใน 1 กะละมัง จะได้น้ำหนักตัวหนอนประมาณ 8 ขีด หรือประมาณ 100-150 ตัว
ส่วนราคาขายจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือแบบขายเป็นตัวสดๆ จะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 250 บาท และแบบแช่ฟรีซ สามารถอยู่ได้ 7-8เดือน ราคาจะอยู่ที่ 350 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังสามารถขายพ่อแม่พันธุ์ได้อีกด้วย โดยจะส่งขายเป็นชุดเลี้ยงประกอบด้วย พ่อแม่พันธุ์ 10 ตัว อาหาร 3 กิโลกรัม พร้อมคู่มือการเลี้ยง จะขายในราคาพร้อมส่งอยู่ที่ 400 บาท
ปัจจุบันทางฟาร์มของคุณญา มีชุดเลี้ยงอยู่ประมาณ 500 ชุด สามารถผลิตตัวหนอนได้มากกว่า 300 กิโลกรัมต่อเดือน ส่งขายทั่วประเทศ จนสร้างรายได้เกือบแสนบาทต่อเดือน ทั้งนี้มองว่าอนาคตของด้วงสาคู จะโตขึ้นอีกอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันเริ่มมีกลุ่มพ่อค้าต่างชาติให้ความสนใจมากขึ้น
โดยหนอนด้วงสาคู สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด อาทินำไป คั่ว ทอด แกงหน่อไม้ แกงเห็ด ย่าง หรือรับประทานสดๆ ก็ได้เช่นกัน
ทั้งนี้หากใครสนใจอยากซื้อหนอนด้วงสาคู พ่อแม่พันธุ์ หรืออยากได้ความรู้เพิ่มเติม ซึ่งทางฟาร์มก็มีเปิดคอร์สอบรมเทคนิควิธีการเลี้ยงอย่างละเอียดให้กับผู้ที่สนใจ สามารถเดินทางไปได้ที่ด้วงสาคูฟาร์มมาดี จ.เพชรบุรี หรือเบอร์โทรศัพท์ 092-532-4544 คุณญา
พ่อแม่พันธุ์ด้วงสาคู
“หนอนด้วงสาคู” ขนาดพร้อมจำหน่าย

เมนูฮิตออเดอร์แน่น ! ‘เกี๊ยวซ่าไส้ทุเรียนหมอนทอง’ ร้านดังปากน้ำโพชวนชิม

เมนูฮิตออเดอร์แน่น ! ‘เกี๊ยวซ่าไส้ทุเรียนหมอนทอง’ ร้านดังปากน้ำโพชวนชิม




ร้านดังปากน้ำโพชวนชิมรังสรรค์เมนู ‘เกี๊ยวซ่าไส้ทุเรียนหมอนทอง’ ยอดสั่งจองปังทั้งลูกค้าในจังหวัดและต่างจังหวัด
วันที่ 6 พ.ค. 2561 เจ้าของร้านเกี๊ยวชื่อดังใน จ.นครสวรรค์ เนรมิตเกี๊ยวใส้ทุเรียนหมอนทองเอาใจคนชอบรับประทานทุเรียน เป็นเกี๊ยวซ่าใส้ทุเรียนหมอนทอง โดยไอเดียนี้มาจาก นางสุไพรัตน์ วิเชียรกัลยารัตน์ อายุ 42 ปี เจ้าของร้านขายเกี๊ยว ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านดรีมแลนด์ ตำบลวัดไทร อำเภอเมืองนครสวรรค์
โดยนางสุไพรัตน์ เล่าว่าทางร้านปกติทำเค้กทุเรียนขายอยู่แล้ว แต่มาในปีนี้ได้ลองทำเกี๊ยวใส้ทุเรียนลองทานกับครอบครัวและให้ลูกค้าที่มาซื้อเกี๊ยวที่ร้านทานเป็นประจำปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดีลูกค้าพอได้ทานแล้วกลับมาถามถึงเมนูเกี๊ยวใส้ทุเรียนตนเองและครอบครัวจึงตัดสินใจทำเกี๊ยวซ่าใส้ทุเรียนหมอนทองตามคำเรียกร้องของลูกค้า
โดยทางร้านขาย‘เกี๊ยวซ่าไส้ทุเรียนหมอนทอง’ ในราคากล่องละ 100 บาท มีเกี๊ยว 10 ตัว พร้อมเสริฟกับซอสที่จัดให้ลูกค้าถึง 3 แบบแล้วแต่ความชอบ โดยมีซอสทุเรียน ซอสช็อคโกแล็ต และนมข้น เอาใจคนชอบทานของหวาน และเรียกได้ว่าตอนนี้เป็นเมนูยอดฮิตของทางร้านเลยก็ว่าได้
ด้านวัตถุดิบที่ทางร้านเลือกใช้จะใช้ทุเรียนหมอนทองที่คัดเกรดมาแบบไม่สุกมากเนื้อจะออกห่าม ๆ ประกอบกับใช้เกี๊ยวสูตรของทางร้านห่อใส้ทุเรียนแล้วนำไปทอดในอุณหภูมิที่เหมาะสมแล้วเสริฟพร้อมซอสสูตรเด็ดของทางร้านแค่นี้ก็อร่อยจนฟินหยุดไม่อยู่ทำเอายอดสั่งปังทั้งลูกค้าในจังหวัดและต่างจังหวัดเรียกหาเมนูเด็ดของทางร้านกันอย่างคึกคักพร้อมสั่งจองได้ที่เบอร์ 081-8883654 รับประกันคนชอบทานทุเรียนต้องติดใจ.

ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกู๋เดือดชามยักษ์ ลูกค้าแน่นร้าน ฟันรายได้กว่าเดือนละแสน!





ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกู๋เดือดชามยักษ์ ในอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ลูกค้าแน่นร้าน ฟันรายได้กว่าเดือนละแสน!
วันนี้(4 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยัง ร้านกู๋เดือดก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์ ในพื้นที่ ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ขายดี ลูกค้าแห่อุดหนุนแน่นร้าน มีสูตรเฉพาะพิเศษที่ลูกค้าสามารถเลือกรับประทานได้ทั้งน้ำใส น้ำตก ต้มยำ และที่พิเศษไปกว่านั้น เป็นก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์ สามารถเลือกน้ำได้ภายในชามสองแบบ เหมาะสำหรับรับประทานเป็นครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนๆ
นางลลิตา ลิลัยมนเดชา อายุ 38 ปี เจ้าของร้านกู๋เดือดก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์ กล่าวว่า เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว เพราะคิดว่าในเขตพื้นที่ตำบลหย่วน ยังไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยวสไตล์แบบนี้ อยากให้ชาวบ้านได้กินของดี อร่อยและมีคุณภาพ จึงคิดค้นเมนูเด็ดคือ ก๋วยเตี๋ยวกู๋เดือดต้มยำชามยักษ์ ราคาชามละ 279 บาท รับประทาน 4-5 คน ใช้ชามตราไก่แบบโบราณขนาดพิเศษ มีทั้งต้มยำ ต้มยำน้ำข้น หรือมา 2 ท่าน สั่งแบบถ้วยเล็กเริ่มต้นที่ 35 บาท พิเศษ 40 บาท และยังมีเล้งเดือด ขาไก่ต้มแซบ หมูลวกจิ้ม 60 บาท หมูคัดเลือกอย่างดี สดใหม่ทุกวัน
ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์ จะใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวทั้งหมด 7 แบบ ประกอบด้วย เส้นเล็ก เส้นหมี่ขาว และบะหมี่ เส้นใหญ่ หมี่ไข่ หมี่สด วุ้นเส้น มาม่า พร้อมกับใส่เครื่องทั้ง ถั่วงอก ลูกชิ้นหมู เนื้อหมู และหมูยอ ราดด้วยน้ำซุปต้มยำสูตรของทางร้าน รสชาติกลมกล่อมไม่เผ็ดจนเกินไป ลูกค้าสามารถรับประทานได้พร้อมกันถึง 5 คน จนได้กระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ทำให้ลูกค้ามากินจนแน่นร้านทุกวัน โดยขายได้วันละ 80-100 ชาม สร้างรายได้ต่อเดือนไม่น้อยกว่า 100,000 บาท
สำหรับใครที่อยากไปลิ้มชิมรส ร้านกู๋ก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 -20.00 น. โดยตั้งอยู่เลขที่ 364 หมู่ 2 ต.หย่วน อ.เชียงคำ จ.พะเยา ตรงข้ามกับ ธ.ก.ส. เชียงคำ หรือสามารถโทรสอบถามได้ที่ คุณลลิตา ลิลัยมนเดชา โทร.09-7490-9191

‘Ka-Yha’ (คะ-หยา) คาเฟ่ขนมหวาน ปรับลุคให้เข้ากับยุคสมัย สร้างมูลค่าสังขยาไทย






ไม่ธรรมดา ‘Ka-Yha’ (คะ-หยา) คาเฟ่ขนมหวานแบบไทยๆ กับเคล็ดลับความอร่อยที่ไม่เหมือนใคร นำ ‘สังขยา’ สูตรคุณยาย มาปรับลุคให้เข้ากับยุคสมัย สร้างมูลค่าสังขยาไทย
ต้องยอมรับเลยว่าปัจจุบันร้านคาเฟ่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นอย่างมาก แต่ใครล่ะจะคิดว่าขนมหวานแบบไทยๆ อย่าง ‘สังขยา’ จะมีคาเฟ่กับเขาด้วย ใช่แล้ว! วันนี้ MThai ได้มีโอกาสไปลิ้มรสความอร่อยที่ร้าน ‘Ka-Yha’ (คะ-หยา) คาเฟ่สังขยา สูตรคุณยาย ที่ส่งต่อถึงลูกหลานให้ได้นำมาปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัย จนสร้างมูลค่าให้กับขนมหวานแบบไทยๆ อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
ทั้งนี้ คุณนนท์ เจ้าของร้าน ‘Ka-Yha’ (คะ-หยา) เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า สูตรสังขยาใบเตย ที่ร้านเป็นสูตรของคุณยายอนงค์ ที่ตนทานมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งอร่อยมากไม่ว่าตนจะไปทานที่ไหนก็ไม่ถูกใจเท่าของคุณยาย จึงเกิดเป็นความคิดที่อยากจะลองทำออกมาให้คนอื่นๆ ได้ทานสังขยาอร่อยๆ แบบตน แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ตนจึงนำมาปรับให้เข้ากับความต้องการของคนสมัยนี้ ออกแบบคาเฟ่ และคิดค้นสูตรสังขยาใหม่ๆ ที่ไม่ได้มีแค่ใบเตย แต่รวมไปถึง สังขยาชาไทย , สังขยาเผือก , สังขยาฟักทอง นอกจากนี้ยังนำมาอะแด๊ปให้เข้ากับขนมยุคนี้อีกด้วย เช่น Toast , ปังเย็น , เครป
แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะง่ายไปหมด กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ลองผิดลองถูกมาเยอะ โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับของกิน อุปสรรคที่ทุกร้านต้องเจอคือ ทำอย่างไรให้อร่อย สด ใหม่ เสมอ ดังนั้นร้านของเราจึงเหลือใช้วัตถุดิบที่ดี ทำใหม่ทุกวัน อบขนมปังเองและแจกจ่ายตามสาขา เพราะเคยรับมาแล้วไม่โอเค ส่วนตัวสังขยา เราก็เลือกใช้กะทิที่มีคุณภาพ เป็นสูตรสำคัญของคุณยาย
คุณนนท์ ยังรอด เจ้าของร้าน ‘Ka-Yha’ (คะ-หยา)
“จริงๆ แล้วหลายคนคงอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ถ้าแค่คิดอย่างเดียว ไม่ลงมือทำมันก็ไม่เกิด ไม่ว่าจะเล็ก จะน้อย จะใหญ่ แต่ถ้าเรามีไอเดีย ก็น่าจะลองทำ เมื่อเราเริ่มลงมือโอกาสสำเร็จก็ยิ่งใกล้เข้ามา แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยโอกาสสำเร็จมันก็ศูนย์ ไม่มีค่าอะไรเลย การทำธุรกิจทุกอย่างมันมีอุปสรรคอยู่แล้ว เราต้องอดทนกับมันและผ่านมันไปให้ได้”
สำหรับใครที่อยากเข้าไปลองลิ้มรส ‘สังขยา’ สูตรคุณยาย ที่นำมาปรับให้เข้ากับยุคสมัย มีทั้ง ขนมปังสังขยาใบเตย-ชาไทย , Kayha Toast , ปังเย็นคะหยาเรนโบว์ , Kayha Lava , ปังเย็นชาไทย และเครื่องดื่มอีกมากมาย สามารถเดินทางไปได้ถึง 3 สาขาใกล้บ้าน ได้แก่…
1. สาขาปากเกร็ด บริเวณหน้าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี (มีที่จอดรถ) เบอร์โทรศัพท์ : 02-964-2346 เวลาเปิดบริการ : 10.30-21.00
2. สาขาเมืองเอก รังสิต ปทุมธานี ใกล้มหาวิทยาลัยรังสิต (มีที่จอดรถด้านหลัง) เบอร์โทรศัพท์ : 02-045-7280 เวลาเปิดบริการ : 12.30-23.00
3. สาขาโชคชัย 4 อยู่ระหว่าง โชคชัย 4 ซอย 37 และ ซอย 35 (จอดรถในซอย 37) เบอร์โทรศัพท์ : 02-086-6966 เวลาเปิดบริการ : 14.00-24.00

เกษตรกรเมืองตรังปลูก ‘กะหล่ำปลี’ ปลอดสารพิษสร้างรายได้นับแสน



เกษตรกรเมืองตรังปลูก ‘กะหล่ำปลี’ ปลอดสารพิษสร้างรายได้นับแสน

เกษตรกรตรังปลูก ‘กะหล่ำปลี’ ใช้พื้นที่แค่ไร่เศษสร้างรายได้นับแสนบาท น้นปลูกผักหมุนเวียนแบบผสมผสาน สร้างรายได้ตลอดทั้งปี
วันนี้ MThaiNews ในช่วง เกษตรสร้างรายได้ ได้เดินทางไปที่ ‘สวนผักสุขรัก‘ ตั้งอยู่เลขที่ 92 หมู่ 3 ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง นางกัลยารัตน์ หมุนเวียน Young Smart Farmer ต้นแบบจังหวัดตรัง และครอบครัว ปลูกแปลงผักกะหล่ำปลี กะหล่ำดอกและผักใบเขียวมากมาย บนพื้นที่ไร่เศษ โดยเฉพาะกะหล่ำปลีในช่วงนี้จะตัดส่งขายให้กับกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพ กิโลกรัมละ 50 บาท และกะหล่ำดอกก็กำลังออกดอกรอเก็บขายเช่นกัน
ด้านนางกัลยารัตน์ หมุนเวียน กล่าวว่า ตนเอง ไม่สามารถทานผักที่ซื้อมาจากท้องตลาดได้ เนื่องจากแพ้สารพิษที่ตกค้างในพืชผัก เลยต้องปลูกผักทานเอง แรกๆก็จะปลูกผักที่โตเร็วดูแลง่ายอย่างเช่น ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง แตงกวา เมื่อมีผลผลิตมากก็นำออกขายให้กับเพื่อนบ้าน
แต่ด้วยความรักและสนใจในผักเมืองเหนือที่มีความสวยงามอย่างกล่ำปลีที่มีลักษณะเหมือนดอกกุหลาบ ตนเองเลยให้เพื่อนที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ส่งเมล็ดพันธุ์มาทดลองปลูกปีแรก ไม่ประสบความสำเร็จ เลยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและทดลองปลูกใหม่จนประสบผลสำเร็จ และสามารถนำออกจำหน่ายได้
นอกจากนี้ที่สวนผักสุขรัก จะปลูกกะหล่ำปลี กะหล่ำดอกแล้วยังมีคะน้าหอม ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาว ผักบุ้งฯ โดยจะปลูกหมุนเวียนกันไปตามฤดูกาล และต้องศึกษาว่าในช่วงอายุผักกี่วันที่เดือนถึงจะเก็บเกี่ยวได้ และจะได้ผลดีต้องปลูกช่วงฤดูกาลไหน
ทั้งนี้ สวนสุขรัก มีวิธีการดูแลและกำจัดศัตรูพืชด้วยระบบธรรมชาติด้วยการปล่อยให้หญ้าขึ้นในแปลงผักเพราะแมลงจะมากินดอกหญ้า ใช้น้ำหมักชีวภาพในการกำจัดศัตรูพืช และเป็นการให้ปุ๋ยไปในตัวด้วย นอกจากนี้จะใช้กาวดักแมลงแทนการใช้สารเคมีฉีดพ่น ในปีหนึ่งๆ ตนและครอบครัวจะมีรายได้จากการขายผักได้มากกว่า ปีละ 400,000 – 500,000 บาท เลยทีเดียว
ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าหลักๆจะเป็นโรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงพยาบาล เพราะเป็นผักปลดสารพิษ 100% ผักที่ปลูกในสวนสุขรักได้รับรองมาตรฐาน GAP จากกรมวิชาการเกษตรเป็นที่เรียบร้อย